วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยมาเป็นระยะเวลานาน ในช่วงตั้งแต่ก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงพระราชทานความหมายของ เศรษฐกิจพอเพียง เอาไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า Sufficiency Economy ดังพระราชดำรัสที่ได้ทรงตรัสไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554
“ในที่นี้เราฟังเขาถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ก็อยากจะตอบว่ามีแล้วในหนังสือ ไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจ แต่เป็นหนังสือพระราชดำรัสที่อุตส่าห์มาปรับปรุงให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคนที่ฟังภาษาไทยบางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ จึงได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นว่าเศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ”
แต่เนื่องด้วยคำว่า Sufficiency Economy เป็นคำที่เกิดมาจากความคิดใหม่ อีกทั้งยังเป็นทฤษฎีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงไม่มีปรากฏอยู่ในตำราเศรษฐศาสตร์ ซึ่งบางคนอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า Self-Sufficient Economy สามารถใช้แทน Sufficiency Economy ได้หรือไม่ หากว่าไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกัน หรือไม่สามารถใช้เหมือนกันด้ จะมีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร โดยคำว่า Self-Sufficiency มีความหมายตามพจนานุกรที่ว่า การไม่ต้องพึ่งใคร และการไม่ต้องพึ่งใครในความหมายของพระองค์ท่านนั้น คือ
“Self-Sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง”
ฉะนั้น เมื่อเติมคำว่า Economy เข้าไป กลายเป็น Self-Sufficient Economy แล้วนั้น จะมีความหมายว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียงกับตัวเอง คือ การที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างไม่เดือดร้อน ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น แต่ในทุกวันนี้ ประเทศไทยเรายังเดือดร้อน ยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่ ที่ในความเป็นจริงที่เราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ตาม ดังนั้น Self-Sufficient Economy จึงหมายถึง เศรษฐกิจแบบพอเพียงกับตัวเอง ที่แตกต่างจาก Sufficiency Economy ซึ่งหมายถึง เศรษฐกิจพอเพียงที่ยังคงมีการพึ่งพากันและกันอยู่ ดังพระราชดำรัสเพิ่มเติมที่ว่า
“คือพอมีพอกินของตัวเองนั้นไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน สมัยหินนั้นเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่าง จะเรียกว่าอำเภอ จังหวัด ประเทศ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียง จึงบอกว่าถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็จะพอแล้ว จะใช้ได้”
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคน หรือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวการที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือในภาษาอังกฤษ คือ Sustainable Development

หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง

      การพัฒนาตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ ๕ ส่วน ดังนี้
1. กรอบแนวความคิด
เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สมารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และ ความยั่งยืน ของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับโดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
3. คำนิยาม
ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย ๓ คุณลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดังนี้
  1. ความพอประมาณ: หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 
  2. ความมีเหตุผล: หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ 
  3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว: หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
4. เงื่อนไข
การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
  • เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ 
  • เงื่อนไขคุณธรรม: ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต 

5. แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผลจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี

เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ

      เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล  การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียรและความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความสามัคคี
      เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักการและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ในขณะที่ แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบัติ ที่เป็นรูปธรรมเฉพาะในพื้นที่ที่เหมาะสม

ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ

อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐานกับแบบก้าวหน้า ได้ดังนี้
      ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานเทียบได้กับทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ ต้องพึ่งน้ำฝนและประสบความเสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า มีที่ดินพอเพียงในการขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำ จะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว  อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม
      ความพอเพียงในระดับชุมชนและระดับองค์กร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ี่ธุรกิจต่าง ๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ  กล่าวคือ เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัวหรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง
      ความพอเพียงในระดับประเทศ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจสร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย เป็นต้น
      การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพัฒนา หรือร่วมมือกันพัฒนา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงกลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงที่เชื่อมโยงกันด้วยหลัก ไม่เบียดเบียน แบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในที่สุด

การสร้างขบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง

      สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้ริเริ่มการสร้างขบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสานต่อความคิดและเชื่อมโยงการขยายผลที่เกิดจากการนำหลักปรัชญาฯ ไปใช้อย่างหลากหลาย รวมทั้งเพื่อจุดประกายให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การยอมรับ และการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติในทุกภาคส่วนของสังคมอย่างจริงจัง
      จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระองค์ นับตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา จะพบว่าพระองค์ท่านได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการพัฒนาที่อยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตนเอง ความพอมีพอกิน พอมีพอใช้ การรู้จักความพอประมาณ การคำนึงถึงความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไม่ให้ประมาท ตระหนักถึงการพัฒนาตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตลอดจนมีคุณธรรมเป็นกรอบในการดำรงชีวิตซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่รู้กันภายใต้ชื่อว่า เศรษฐกิจพอเพียง     
      สศช. จึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่าง ๆ มาร่วมกันกลั่นกรองพระราชดำรัสฯ สรุปเป็นนิยาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และได้อัญเชิญมาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับมีความเข้าใจและนำไปประกอบการดำเนินชีวิต
      การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างเครือข่ายเรียนรู้ ให้มีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นกรอบความคิด เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน
      วัตถุประสงค์ของการขับเคลื่อนเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ประชาชนทึกคนสามารถนำหลักปรัชญาฯ ไปประยุกต์ให้ได้อย่างเหมาะสม และปลูกฝัง ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการดำรงชีวิตให้อยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนนำไปสู่การปรับแนวทางการพัฒนาให้อยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง
    
      การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการเสริมพลังให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาไปได้อย่างมั่นคง ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างฐานรากทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้มแข็ง รักษาความสมดุลของทุนและทรัพยากรในมิติต่าง ๆ ตลอดจนสามารถปรับตัวพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างเท่าทัน และนำไปสู่ความเอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนชาวไทย
การขับเคลื่อนจะเป็นลักษณะเครือข่ายและระดมพลังจากทุกภาคส่วน
แบ่งเป็น 2 เครือข่ายสนับสนุนตามกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ได้แก่
  • เครือข่ายด้านประชาสังคมและชุมชน
  • เครือข่ายธุรกิจเอกชน
นอกจากนี้แล้วยังมีเครือข่ายสนับสนุนตามภารกิจ ได้แก่
  • เครือข่ายวิชาการ
  • เครือข่ายสร้างกระบวนการเรียนรู้
  • เครือข่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
      ทั้งนี้แกนกลางขับเคลื่อนมี 3 ระดับได้แก่ คณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และกลุ่มงานเศรษฐกิจพอเพียงใน สศช. ซึ่งจะเป็นหน่วยปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนและจะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายผลการดำเนินงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 80 พรรษา ในเดือนธันวาคม 2550

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

      เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
      ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐนักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
(ประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป)

โครงการฝนหลวง

โครงการฝนหลวง

ความเป็นมา
         โครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติหรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ เพราะนอกจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ อย่างแน่นอน ตามที่ทรงเล่าไว้ใน RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู้ และเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปีถัดมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้
          การทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก จนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบว่า พร้อมที่จะดำเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๑๒ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน ๑ ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชัดเจน เกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทางลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
วัตถุประสงค์
          โครงการฝนหลวง เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ ๒๔๙๕ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาด แคลนน้ำ อุปโภค บริโภค และการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมา ได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี ๒๕๑๒ ด้วยความสำเร็จของ โครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกา ก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการ พระราชดำริ "ฝนหลวง" ต่อไป
          สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ไม่สามารถขยายขอบเขตการให้บริการฝนหลวง แก่ประชาชนและเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง และเพียงพอกับความต้องการใช้ประโยชน์ได้ เช่น ในฤดูแล้งปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคใน ๘ จังหวัด ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จว.นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และชัยภูมิ อย่างรุนแรง ได้ทราบถึงพระเนตร พระกรรณ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๐ จึงได้มีกระแสพระราชดำรัสกับผู้บัญชาการทหารบก ให้หาลู่ทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดโครงการน้ำพระราชหฤทัยจากในหลวง หรือโครงการอีสานเขียวขึ้น
          การทำฝนหลวงเป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า จะต้องให้เครื่องบิน ที่มีอัตราการ บรรทุกมากๆ บรรจุสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า โดยดูจากความชื้นของจำนวนเมฆ และสภาพของทิศทางลมประกอบกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนคือ ความร้อนชื้น ปะทะความเย็น และมีแกนกลั่นตัวที่มีประสิทธิภาพ ในปริมาณที่เหมาะสมกล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้น ที่ระดับผิวพื้นขึ้นสู่อากาศเบื้องบน อุณหภูมิของมวลอากาศ จะลดต่ำลงจนถึงความสูงที่ระดับหนึ่ง อุณหภูมิที่ลดต่ำลงนั้นมากพอ ก็จะทำให้ไอน้ำในมวลอากาศอิ่มตัว จะเกิดขบวนการกลั่นตัวเองของไอน้ำในมวลอากาศขึ้นบนแกนกลั่นตัว เกิดเป็นฝนตกลงมา ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้จึงประกอบด้วยสูตรร้อน เพื่อใช้กระตุ้นเร่งเร้ากลไกการหมุนเวียนของบรรยากาศสูตรเย็น ใช้เพื่อกระตุ้นกลไกการรวมตัวของละอองเมฆ ให้โตขึ้นเป็นเม็ดฝน และสูตรที่ใช้เป็นแกนดูดซับความชื้น เพื่อใช้ กระตุ้นกลไก ระบบการกลั่นตัวให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
รายละเอียดโครงการ
          การทำฝนหลวงนี้มีขั้นตอน ยุ่งยากหลายประการ จึงต้องใช้บุคลากรหลายฝ่ายร่วมมือกัน จึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ต้องมีหลายหน่วยงานเข้าร่วมกัน สร้างสรรค์โครงการนี้ ให้เป็นฝันที่เป้นจริงของพี่น้องชาวอีสานในส่วนของฝนหลวงพิเศษ
โครงการฝนหลวงพิเศษ หากสามารถช่วยเหลือพี่น้องชาวอีสานจากภาวะแห้งแล้ง ถึงแม้จะมีการสร้างเขื่อนหรือ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในบางส่วนของภูมิภาค แต่ก็ยังไม่ เพียงพอที่จะเก็บกักน้ำสำรับอุปโภค บริโภคและใช้ในการเกษตร โครงการนี้จึงสามารถ บรรเท่าความเดือดร้อนได้ เพราะสามารถที่จะเข้าไปปฏิบัติ ภารกิจในจุดต่างๆ ซึ่งเกิด ภาวะแห้งแล้งได้ แม้ฝนที่ตกในบางครั้ง อาจจะผิดเป้าหมายไปบ้าง เนื่องจาก ข้อผิดพลาดของสภาพลมฟ้าอากาศ หรือจากการคำนวน แต่ก็เป็น เพียงส่วนน้อย เมื่อเทียบกับผลสำเร็จซึ่งนับได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ
          จากที่กล่าวมาในข้างต้น สามารถพิสูจน์ได้ว่า กองทัพเรือไม่ได้มีเพียงหน้าที่ในการ ปกป้องน่านน้ำไทยเท่านั้น แต่ยังได้เข้าช่วยเหลือราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ในหลาย โครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐอื่นๆ เช่น โครงการดับไฟป่าที่ จว.เชียงใหม่ สามารถรักษา พื้นที่ป่าให้พ้นจากความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่เพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ในการช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ท่าน ให้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ความรับผิดชอบของของทัพเรือที่มีต่อโครงการฝนหลวง
          กองทัพเรือได้ร่วมเข้าโครงการน้ำพระทัยจากในหลวงในส่วนของ ฝนหลวงพิเศษ มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยผู้บัญชาการทหารเรือ มีคำสั่งให้ดำเนินการดัดแปลง บ.C-47 จำนวน ๒ ลำ เพื่อใช้ในการโปรยสารเสมีและทำการทดลองในช่วงแรก ตั้งแต่ ๑๕ เม.ย.-๓๐ ต.ค.พ.ศ.๒๕๓๐ รวม ๒๐๐ วัน ปรากฎว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ และได้รับหน้าที่รับผิดชอบทำฝนหลวง ในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยส่ง บ. C-47 ๑ ลำ ร่วมกับกรมตำรวจ ซึ่งส่ง บ.แบบปอร์ตเตอร์เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๓ ลำ มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่สนามบินขอนแก่น ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เป็นหน้าที่รับผิดชอบของกองทัพอากาศ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ บ.C-47 ได้เลิกปฏิบัตภารกิจ เนื่องจากมีอายุการใช้งานมานาน และมีปัญหาด้านการซ่อมบำรุง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิต เลิกสายการผลิตอะไหล่ กองการบินทหารเรือจึงได้จัด บ.ธก.๒ (N-24A) สังกัดฝูงบิน ๒๐๑ กองบิน ๒ ทดแทน โดยเริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ ๑๖ มี.ค.๓๕ ต่อมาในฤดูแล้งปีเดียวกันเกิด ภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนเจ้าพระยา อยู่ในระดับต่ำมาก เพื่อให้ภาวะวิกฤตนี้หมดสิ้นไป กองทัพเรือจึงได้เข้าร่วมแก้ไขปัญหานี้โดยส่ง บ.ธก.๒ อีก ๑ ลำเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจที่ จว.พิษณุโลก ตั้งแต่ ๑๖ ก.ค.๓๕
ที่ตั้งโครงการ
          กองการบินทหารเรือ ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง 

คุณทองแดง

คุณทองแดง เป็นสุนัขเพศเมีย เป็นลูกของนังแดง สุนัขจรจัดบริเวณถนนพระราม 9 เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 มีพี่น้อง 7 ตัว ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่า ทองแดง (เพศเมีย), คาลัว (เพศเมีย), หนุน (เพศเมีย), ทองเหลือง (เพศผู้) ได้ไปอยู่บ้านของข้าราชบริพารท่านหนึ่ง, ละมุน (เพศเมีย), โกโร (เพศเมีย) และโกโส (เพศเมีย)
          จากนั้นได้มีนายแพทย์คนหนึ่งนำทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 เมื่อทอดพระเนตรทองแดงแล้ว ก็มีรับสั่งว่าให้นำเข้ามาเลี้ยง จากที่เคยเป็นลูกหมาจรจัด คุณทองแดง ก็เข้ามาอยู่ในวัง ส่วนแม่ของคุณทองแดงนั้นก็มีผู้รับไปเลี้ยงดูแล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยกคุณทองแดง ให้ "คุณมะลิ" สุนัขแม่ลูกอ่อนทรงเลี้ยงในวังเป็นผู้เลี้ยงดู


คุณทองแดง
          "คุณทองแดง" มีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางมีดอกสีขาว และมีจมูกแด่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงค้นในหนังสือพบว่า "คุณทองแดง" มีลักษณะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดทางแอฟริกาใต้ นิยมใช้งานในการล่าสัตว์ แต่คุณทองแดงมีขนาดตัวใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิทั่วไป พระองค์จึงทรงเรียกคุณทองแดงว่าเป็น สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ จากก่อนหน้านี้ทรงเรียกว่า เป็นสุนัขพันธุ์เทศ (ย่อมาจาก เทศบาล)

คุณทองแดง

คุณทองแดง

          เมื่อเข้ามาอยู่ในวังคุณทองแดงก็เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากเป็นสุนัขที่ฉลาดมาก ความฉลาดของคุณทองแดง เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเรียกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้าเพื่อที่จะชั่งน้ำหนัก แค่เพียงรับสั่งว่า ทองแดงไปชั่งน้ำหนัก คุณทองแดงก็จะเดินขึ้นตาชั่ง หรือเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาเพื่อทรงออกกำลังตรงถนนบริเวณชายหาด ซึ่งมีต้นมะพร้าวอยู่ เพียงรับสั่งว่า อ้อมต้นมะพร้าว คุณทองแดงก็จะวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวทันที โดยไม่ต้องมีการสอน และเมื่อวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวไปสักครึ่งต้น คุณทองแดงก็จะหยุดหันมามองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

คุณทองแดง
          นอกจากนี้ คุณทองแดง ยังเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเข้ามาเคลียคลอพระองค์ท่าน เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน คุณทองแดงจะนำเสด็จอยู่หน้าพระองค์ท่าน เวลาพระองค์ท่านประทับนั่ง คุณทองแดงก็จะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า ใช้สองขาหน้าเกยกันเหมือนคนกำลังหมอบคลาน แล้วหันหน้าออกไปด้านนอก คอยระแวดระวังด้านนอกอย่างเดียว แต่หากระยะเวลาในการเข้าเฝ้าฯ นาน คุณทองแดงจะเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์และผู้มาเข้าเฝ้าฯ พร้อมกับถอนใจยาว แต่ก็ไม่ลุกไปไหน ยังคงหมอบเฝ้าอยู่เช่นนั้น 

คุณทองแดง
คุณทองแดง และลูก ๆ
          ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับพักผ่อนอิริยาบถที่ใด คุณทองแดง ก็จะตามเสด็จฯ ด้วย เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณทองแดงไม่ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งไปทรงงานที่สวนจิตรฯ นานไปหน่อย ทำให้คุณทองแดงเครียด เพราะคิดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล

           ด้วยเหตุนี้ คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงสุนัขที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้รับการตั้งฉายาว่าเป็น สุนัขประจำรัชกาล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ หนังสือ "เรื่อง ทองแดง (The Story of Tongdaeng)" ออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หนังสือ เรื่อง ทองแดง
          ทั้งนี้นอกจากเรื่องความซื่อสัตย์ ฉลาดแสนรู้แล้ว "คุณทองแดง" ถือเป็นสุนัขที่กตัญญูรู้คุณเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับแม่มะลิ ซึ่งเป็นเสมือนแม่นมของคุณทองแดง ที่แม้เมื่อแยกกันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่คุณทองแดงพบกับแม่มะลิ จะแสดงความเคารพแม่มะลิอยู่เสมอ และก็ยังเป็นแม่ที่เอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี โดยคุณทองแดง มีลูกกับ คุณทองแท้ สุนัขพันธุ์บาเซนจิ จำนวน 9 สุนัข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อขนมที่มีคำว่า "ทอง" และพระราชทานนามสกุลว่า "สุวรรณชาด" ดังนี้

คุณทองแดง
สมาชิกในครอบครัวคุณทองแดง 

          - ทองชมพูนุช เพศเมีย น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง

          - ทองเอก เพศผู้ น้ำหนัก 310 กรัม คลอดเอง

          - ทองม้วน เพศผู้ น้ำหนัก 330 กรัม คลอดเอง

          - ทองทัต เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง

          - ทองพลุ เพศผู้ น้ำหนัก 300 กรัม ต้องฉีดยาช่วย มีลูกกับคุณหิรัญวารี

          - ทองหยิบ เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง

          - ทองหยอด เพศเมีย น้ำหนัก 320 กรัม คลอดเอง มีลูกกับคุณน้ำชา

          - ทองอัฐ เพศเมีย น้ำหนัก 290 กรัม คลอดเอง

          - ทองนพคุณ เพศผู้ น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง

ยกตัวอย่างผลงานที่สร้างจากซอฟต์แวร์กราฟิกมาอย่างน้อย 3 ประเภท

ซอฟต์แวร์กราฟิก คือ  การนำเสนอข้อมูลตัวเลข โดยปกติจะอยู่ในรูปของตาราง เป็นแถวและสดมภ์ ซึ่งไม่ใช่วิธีการนำเสนอข้อมูลที่ดี เพราะการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางไม่ดึงดูดความสนใจ และตีความข้อมูลตัวเลขได้ลำบากไม่สมบูรณ์ การแปลงข้อมูลตัวเลขให้อยู่ในรูปภาพและแผนภูมิจะเป็นวิธีที่ดีและมีประสิทธิภาพสูง เพราะการนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีนี้จะดึงดูดความสนใจสื่อความหมายได้กระจ่างชัด และเข้าใจง่าย
     ในปัจจุบันนิยมนำข้อมูล มาเขียนเป็นแผนภูมิ หรือนำข้อมูลมาวิเคราะห์คำนวณตัวเลขทางสถิติ ได้ข้อมูลตัวเลขชุดใหม่ แล้วจึงค่อยนำมาสร้างเป็นแผนภูมิ ซึ่งแผนภูมิที่ได้นี้จะนำไปเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงเพื่อใช้วางแผนและตัดสินใจ หรืออาจใช้เพื่อนำเสนอบุคคลทั่วไป เพื่อการประชาสัมพันธ์ แผนภูมิทางธุรกิจเพื่อการนำเสนอมักมีการจัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพราะจะต้องให้เข้าใจง่าย ดึงดูดความสนใจต่อผู้พบเห็น
      นักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีความรู้หรือทักษะในการเลือกชนิดและสร้างแผนภูมิเพื่อการนำเสนอ เพราะแผนภูมิทางธุรกิจมีหลายชนิด เช่น แผนภูมิแท่ง แผนภูมิวงกลม กราฟเส้นตรง ฯลฯ แผนภูมิแต่ละชนิดก็เหมาะสำหรับการนำเสนอที่แตกต่างกัน การเลือกชนิดของแผนภูมิก็เป็นเรื่องสำคัญมากอันหนึ่งที่ชี้บอกข้อมูล ทางออกที่ดีของนักธุรกิจจึงเป็นการแจ้งความต้องการของตน แล้วมอบให้กับแผนกศิลป์ ช่วยเลือกชนิดแล้วสร้างแผนภูมิให้ ในกรณีนี้ค่าใช้จ่ายของการสร้างแผนภูมิจะค่อนข้างสูง และใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะเสร็จ ถึงแม้ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติม ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและใช้เวลายาวนานขึ้นอีก
      ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ทางด้านกราฟิกให้เลือกใช้มาก ซึ่งซอฟต์แวร์เหล่านี้จะเน้นการใช้งานที่ง่ายและสะดวก มีชนิดของแผนภูมิให้เลือกใช้หลายแบบตามความเหมาะสมของข้อมูล การจัดแต่งและการจัดรูปแผนภูมิใหม่สามารถทำได้ง่ายด้วยคำสั่งเพียง 1 หรือ 2 คำสั่ง นอกจากนี้ยังสามารถโอนย้ายข้อมูลจากซอฟต์แวร์สำเร็จอื่น เช่น จากระบบฐานข้อมูลและตารางทำงาน มาแสดงแผนภูมิได้ด้วย
แผนภูมิที่ได้จากซอฟต์แวร์สำเร็จข้างต้นให้ผลของภาพชัดเจน และละเอียดดี ไม่แพ้ภาพของแผนกศิลป์ การสร้างปรับแต่งภาพ ก็สามารถทำได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถเก็บภาพที่ได้ใส่ไว้ในแผ่นบันทึกในรูปของแฟ้มข้อมูล และนำผลออกทางเครื่องพิมพ์ เครื่องวาดรูป หรือออกเป็นภาพสไลด์ก็ได้ การฝึกใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จด้านกราฟิกจะเป็นการตัดบทบาทขั้นตอนของแผนกศิลป์ออกไป หน่วยงาน หรือบริษัทเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างงานกราฟิกทางธุรกิจได้เป็นอย่างดีเป็นการประหยัดเงินและเวลาได้มาก
ซอฟต์แวร์ด้านกราฟิกแบ่งได้หลายประเภทของการใช้งาน เช่น ทางธุรกิจ ทางการออกแบบ ซอฟต์แวร์กราฟิกทางธุรกิจจะช่วยในงานด้านวิเคราะห์และเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิโดยสามารถจัดแต่งรูปแผนภูมิเพื่อสวยงามและนำเสนอและจูงใจผู้ชม
โดยทั่วไปแล้วซอฟต์แวร์ด้านนี้จะสามารถสร้างแผนภูมิหลักที่สำคัญต่อไปนี้ได้ คือ แผนภูมิแท่ง แผนภูมิแท่งซ้อน แผนภูมิแท่งเหลื่อมทับแผนภูมิวงกลม แผนภูมิวงกลมแยกส่วน กราฟเส้นตรง แผนภูมิกระจัดกระจาย แผนภูมิพื้นที่ และแผนภูมิสูงต่ำ
ในการปรับแต่งรูปแผนภูมิ สามารถกำหนดข้อความ หัวเรื่อง ข้อความอธิบายแกน เลือกขนาด และชุดแบบอักษร เลือกสี และแถบระบายของแท่ง หรือชิ้นส่วนแผนภูมิ และแทรกภาพสัญลักษร์เข้ารวมในรูปแผนภูมิ นอกจากนี้ในการรับข้อมูลเข้า สามารถเลือกรับจากแผงแป้นอักขระ จากแฟ้มข้อมูล หรือจากโปรแกรมสำเร็จอื่น เช่น รับแฟ้มตารางทำงานมาปรับแต่งแผนภูมิให้ดีขึ้นได้ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานกราฟิกเชิงธุรกิจอีกด้วย
ผลงานที่สร้างจากวอฟต์แวร์กราฟิก ยกตัวอย่างเช่น
1.โปรแกรมAdobe Photoshop
     สำหรับโปรแกรมนี้ในปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมคลาสิกที่่เกือบทุกเครื่อง จำเป็นต้องติดตั้งไว้ เพราะ Photoshop เป็นโปรแกรมในการออกแบบ การแต่งภาพ การใส่เอ็ฟเฟ็กยอดนิยม ด้วยความที่ใช้งานง่ายและมีเครื่องมีในการใช้งานมากมาย สามารถผลิกแผลงได้สารพัดประโยชน์ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการตัดต่อภาพ การแต่งภาพให้สวยขึ้น คมชัดขึ้น ขาวขึ้น  ในปัจจุบันโปรแรกมAdobe Photoshop มีออกมาหลายเวอร์ชัน และยังคงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง
2.โปรแกรมAdobe Flash
     สำหรับโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ใช้ทำ Animation หรือภาพเคลื่อนไหว ซึ่งใช้งานง่าย เพราะโปรแกรมไม่มีความซับซ้อนมากนัก ถือเป็นโปรแกรมพื้นฐานในการหัดออกแบบภาพเคลื่อนไหว

3.โปรแกรมAdobe Illustrator
      โปรแกรมออกแบบโลโก้ ออกแบบภาพ เสริม เติม แต่งภาพ ระดับมืออาชีพ มีฟังก์ชันคล้ายกับPhotoshop แต่มีการทำงานที่เหนือชั้นกว่าในการออกแบบ โปรแกรมนี้อาจต้องลองศึกษาเพิ่มเติม แต่รับประกันว่าเป็นโปรแกรมที่ออกแบบภาพได้ดีเยี่ยมโปรแกรมหนึ่ง

4.โปรแกรมAdobe InDesign
     โปรแกรมนี้ผมนิยมใช้ในการออกแบบวารสาร นิตยสาร หน้าสืออิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในตระกลู Adobe เหมือนกัน

5.โปรแกรมSweet Home 3D
     โปรแกรมที่สำหรับการออกแบบบ้าน ที่มีลักษณะการใช้งานง่ายๆ และไม่ยุ่งยากเลย โดยจะมีอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ให้เราได้เลือกจำนวนมากมาย และยังสามารถที่จะนำอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มได้ตลอด ซึ่งโปรแกรมรองรับไฟล์การ Import ได้หลายแบบ

6.โปรแกรมGoogleSketchUpWEN
     เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งในการใช้ออกแบบแปลนบ้าน ออกแบบโครงสร้างการก่อสร้าง เหมาะสำหรับนักสถาปนิคในการออกแบบ

7.โปรแกรมPhotoScapeSetup

     โปรแกรมตัดต่อภาพ เปลี่ยนแปลงภาพ เพิ่มแสงเงา ใส่กรอบ เพิ่มข้อความ สัญลักษณ์ ลดขนาดไฟล์ภาพ ออกแบบโลโก้อย่างง่าย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่นิยมใช้งาน เพราะใช้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานหรือศึกษาโปรแกรม ด้วยโปรแกรมไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกับโปรแกรมออกแบบอื่นๆ ติดตั้งแล้วลองใช้งานได้เลย

ซอฟต์แวร์เฉพาะงานคืออะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร

      ซอฟต์แวร์เฉพาะงาน คือ การประยุกต์ใช้งานด้วยซอฟต์แวร์สำเร็จมักจะเน้นการใช้งานทั่วไป แต่อาจจะนำมาประยุกต์โดยตรงกับงานทางธุรกิจบางอย่างไม่ได้ เช่นในกิจการธนาคาร มีการฝากถอนเงิน งานทางด้านบัญชี หรือในห้างสรรพสินค้าก็มีงานการขายสินค้า การออกใบเสร็จรับเงิน การควบคุมสินค้าคงคลัง ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะสำหรับงานแต่ละประเภทให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย   ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะมักเป็นซอฟต์แวร์ที่ผู้พัฒนาต้องเข้าไปศึกษารูปแบบการทำงานหรือความต้องการของธุรกิจนั้น ๆ แล้วจัดทำขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นซอฟต์แวร์ที่มีหลายส่วนรวมกันเพื่อร่วมกันทำงาน ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะที่ใช้กันในทางธุรกิจ เช่น ระบบงานทางด้านบัญชี ระบบงานจัดจำหน่าย ระบบงานในโรงงานอุตสาหกรรม บริหารการเงิน และการเช่าซื้อ   ความต้องการของการใช้คอมพิวเตอร์ในงานทางธุรกิจยังมีอีกมาก ดังนั้นจึงต้องมีความต้องการผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะต่าง ๆ อีกมากมาย

ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน  เป็นซอฟต์แวร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทำงานอย่างใด
อย่างหนึ่ง และไม่สามารถ ทำงานอื่นได้  เช่น โปรแกรมระบบบัญชี โปรแกรมเพื่องานออก
แบบ โปรแกรมช่วยงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
1. โปรแกรมระบบบัญชี (Accounting) เช่น ระบบบัญชีเงินเดือน ลูกหนี้ ระบบเช่าซื้อ
บัญชี แยกประเภท
2. โปรแกรมช่วยงานอุตสาหกรรม CAM (Computer-Aided Manufactory
and Composition And Make-up) ซอฟต์แวร์ชนิดนี้ใช้สำหรับงานด้านอุตสาหกรรม
เป็นส่วนใหญ่ เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ดูแลและควบคุมเครื่องจักรกลแทนคน หรืองานประเภท
ที่ต้องทำซ้ำๆ กัน ครั้งละมากๆ (Mass-production)
3. โปรแกรมช่วยในการเรียนการสอน CAI (Computer-Assisted Instruction)
โดยการใช้คอมพิวเตอร์ หรือจำลองตัวเองเป็นสื่อในการเรียนการสอนประกอบกับรูปภาพ
(เคลื่อนไหว) ในลักษณะต่างๆ ซึ่งทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ
4. เกมส์ (Game) สำหรับผ่อนคลายหลังจากการใช้เครื่องแต่ส่วนใหญ่นิยมเล่นเพื่อความ
เพลิดเพลินกว่า   ตัวอย่างของเกมส์เหล่านี้ได้แก่ โปรแกรมเกมส์ต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้า
(Arcade game)  เกมส์บนกระดาน  (Board game) เช่น หมากรุก โมโนโปลีฯลฯ เกมส์ไพ่
(Card) เกมส์เสมือนหรือจำลอง
5. โปรแกรมเพื่องานออกแบบหรือ CAD (Computer-Aidea Design) เช่น AutoCad
AutoLISP และ  DisgnCAD เป็นต้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ใช้สำหรับการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ และงานออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรม
6. โปรแกรมตรวจสอบ/ป้องกันไวรัส (Anti-Virus) มีไว้เพื่อป้องกันการโจมตีของไวรัส
คอมพิวเตอร์ และมักจะมีคำสั่งให้ทำลายล้างไวรัสออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น McAfee
virus scan, AVI-scan, Norton Anti-virus เป็นต้น
7. โปรแกรมมัลติมีเดีย   (Multimedia)  เป็นซอฟต์แวร์ใช้สำหรับสร้างโปรแกรม CAI
หรือทำ Presentation หรือใช้สำหรับดูหนัง  ฟังเพลง  เช่น  Multimedia Toolbook, Xing
MPEG, Authorware, PowerDVDชนิดอื่นๆ เช่น ระบบธุรกิจต่างๆ งานทำดนตรีงานตัดต่อ
ภาพยนตร์ การวางแผนงาน งานศิลปะ  งานวาดรูป การประมาณการ วิเคราะห์  งานพัฒนา การบริหารโครงงาน
ข้อดี
1. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและการปฏิบัติงานให้กับการทำงาน
2. สามารถสร้างระบบงานและกระบวนการทำงานได้ถูกต้อง รวดเร็ว เชื่อมโยงกันได้ครบวงจร
3. ลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูล เพราะมีการนำข้อมูลเข้าเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเหมือนกันทั้งองค์กร
4. มีศูนย์รวมระบบข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ
5. นำกระบวนการทำงานที่ดีที่สุดมาใช้ในองค์กร
6. มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ตามความต้องการ
7. มีการรักษาความปลอดภัยที่ดี มีระบบควบคุมภายใน
8. สร้างรายงานและช่วยวิเคราะห์รายงานที่ใช้ในการวางแผน
9. ลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้ในระยะยาว
ข้อเสีย
1. ต้องปรับตัวให้เข้ากับโปรแกรม ต้องมีการเปลี่ยนกระบวนการทำงาน
2.เกี่ยวข้องกับแทบทุกหน่วยงานในองค์กร ใช้เวลาในการ Implement นาน จึงต้องทำความเข้าใจกับพนักงาน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการต่อต้านการใช้โปรแกรมได้เพราะในช่วง Implement อาจต้องทำงานทั้งงานเดิม และป้อนข้อมูลใส่โปรแกรม จึงทำให้มีการทำงานเพิ่มขึ้นจากเดิม
3. มีความซับซ้อน พนักงานที่ป้อนข้อมูลไม่ค่อยเอาใจใส่ ป้อนข้อมูลผิดพลาด แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็จะผิดต่อๆ กัน เพราะ จะไม่ป้อนข้อมูลซ้ำๆ กัน เมื่อต้นทางป้อนข้อมูลไปผิด ผู้รับปลายทางจะได้รับข้อมูลที่ผิดไปด้วย
4. บางตัวมีขนาดใหญ่มาก ถูกทำมาเพื่อกลุ่มอุตสาหกรรมอาจจะไม่เหมาะกับโรงงานเล็กๆ บางตัวเป็นแนวบัญชี ไม่เหมาะสมกับงานอุตสาหกรรม ดังนั้นต้องเลือกดีๆ
สรุป
เวลาเปิดแหล่งข้อมูลที่ได้นำเสนอ เทคโนโลยีให้ได้ในราคาถ้าเราเปรียบเทียบกับบริการ ERP แต่ ERP ซอฟต์แวร์เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของบริษัทธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง และมันได้กลายเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ ERP เพื่อปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ มีซอฟต์แวร์ ERP หลากหลายมากเป็น Open Source ERP ตัวอย่าง ได้ง่าย ๆ  
มีข้อได้เปรียบที่ ยิ่งใหญ่มากมาย จะสามารถดาวน์โหลดได้จากอินเทอร์เน็ต และเรียกใช้งานในระบบธุรกิจใด ๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการทางธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับมัน ERP ไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ถูกนำไปใช้ โดยสื่อหลายบริษัทขนาดใหญ่แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่า โปรแกรมประยุกต์นี้แพงพอกัน ส่วนใหญ่องค์กรที่ขนาดเล็ก และขนาดกลางมีไม่เคยคิดว่า การใช้ซอฟต์แวร์นี้ในระบบธุรกิจของพวกเขาเนื่องจากราคาของขนาดใหญ่ ทันที ERP แหล่งเปิดได้ถูกเปิดตัวในตลาด สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจาก Open Source ERP จะสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของเซกเตอร์ขนาดเล็ก บริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลางจำนวนมากได้เริ่มต้นเพื่อทำให้ใช้ซอฟต์แวร์นี้ เพิ่มเติม มีแอปพลิเคชันฟรีความต้องการสำหรับโปรแกรมประยุกต์นี้ได้เพิ่มมากขึ้น คุณลักษณะ ERP เหล่านี้ได้ระบุว่าบริษัทเพิ่มเติมเมื่อต้องการทดสอบในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ของตนเอง
หลายบริษัทจ่ายผลรวมขนาดใหญ่ของเงินเพื่อจัดหาลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ ERP การรับบริการระดับมืออาชีพเป็นการใช้งานซอฟต์แวร์และการฝึกอบรมพนักงาน ใช้ ERP เป็นแหล่งเปิดไม่จำเป็นต้องใบอนุญาตหรือการดำเนินงาน มันสามารถแค่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต ติดตั้งในระบบธุรกิจของคุณ และเรียกใช้ การดาวน์โหลดและการติดตั้งกระบวนล่าสุดเพียงไม่กี่นาทีและ open source ERP จะเริ่มการทำงานให้คุณทันที แน่นอน ซอฟต์แวร์ ERP มีข้อดีและข้อเสียเป็นซอฟต์แวร์อื่น ๆ
หนึ่งในข้อเสียคือข้อ เท็จจริงที่บริษัทที่ใช้ Open Source ERP ไม่สามารถนำข้อดีของการบริการที่นำเสนอ โดยผู้ขายเนื่องจากบริษัทการจัดการธุรกิจของตนเองอย่างอิสระ ในกรณีนี้ ถ้ามีข้อผิดพลาดอย่างง่ายคือไม่ rectified ทันที สามารถมีลักษณะพิเศษที่ร้าย และมันสามารถพิสูจน์เป็น เรื่องราคาแพง เพิ่มเติม บริษัทจะไม่เสนอความช่วยเหลือมืออาชีพใด ๆ ดังนั้นมันจะบังคับให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของ.

Open Source ERP เทคโนโลยีมีข้อจำกัดบางอย่าง ตัวอย่าง พวกเขาไม่พบความเกี่ยวข้องใด ๆ ในกิจกรรมบริษัททั้งหมด และจะไม่ใช้เมื่อมันมาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติปกติ ไม่มีการแนะนำการใช้เทคโนโลยีเปิดแหล่งที่มา โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการระบบเก่าทำงาน จดลงในบัญชีผู้ใช้ชนิดนี้ของ ERP เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่ว่าง และไคลเอนต์ไม่จำเป็นต้องการใช้ผลรวมขนาดใหญ่ของเงินจ่ายสำหรับมัน พวกเขาไม่คาดว่าจะการค้นหาคุณลักษณะทั้งหมดที่เรามักจะพบในซอฟต์แวร์ เซิร์ฟเวอร์ไคลเอ็นต์ ERP แบบดั้งเดิม แต่แม้ว่าขีดจำกัดของ Open Source ERP ยังคง เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับบริษัทเหล่านั้นทั้งหมดที่พิจารณาที่นำมาบังคับใช้ และการใช้ซอฟต์แวร์นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจที่ต้นทุนต่ำกว่า

เลขฐานสองเกี่ยวข้องอย่างไรกับซอฟต์แวร์

เลขฐานสองเกี่ยวข้องอย่างไรกับซอฟต์แวร์
คอมพิวเตอร์คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า “เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์”
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษาได้ เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป
นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่าง ๆ อีกมากอาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่อง และสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่าง ๆ ได้
ตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนใช้เมาส์ วาดรูปคอมพิวเตอร์จะรับรู้ตำแหน่งของเมาส์ในแต่ละขณะแล้วทำการคำนวณทาง คณิตศาสตร์เพื่อให้เกิดภาพตามที่นักเรียนวาด และทำการควบคุมการทำงานของจอภาพเพื่อให้ภาพไปปรากฏบนจอ เราบอกว่าคอมพิวเตอร์ทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์แต่คณิตศาสตร์ของคอมพิวเตอร์ นั้นต่างกับคณิตศาสตร์ที่เราใช้คิดเลขในชีวิตประจำวัน คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันของเราเป็นระบบเลขฐานสิบ โดยมีตัวเลขให้ใช้ 10 ตัว คือ 0,1,2,3,4,5,6,7,8,และ 9 แต่คณิตศาสตร์ของคอมพิวเตอร์นั้นเป็นระบบเลขฐานสอง ซึ่งมีตัวเลขให้ใช้เพียงสองตัวเท่านั้น คือ 0 และ 1 นักเรียนคงแปลกใจว่า คอมพิวเตอร์จะสามารถคิดเลขได้อย่างไร ในเมื่อมีเพียงตัวเลข 0 และ 1 เท่านั้น เราจึงต้องมาทำความเข้าใจกับวิธีการนับเลขเสียก่อน

การนับเลขในระบบเลขฐานสิบ สมมติเราเริ่มนับเลขจากศูนย์และนับเพิ่มไปทีละหนึ่งเป็นหนึ่ง สอง สาม ฯลฯ ถ้าเราใช้เลขหลักเดียว เราจะนับได้ไม่เกิน เก้า ซึ่งเขียนแทนด้วย “9” ถ้านับต่อจาก (หนึ่ง ศูนย์) ให้สังเกตตัวเลขหลักทางขวามือ ซึ่งเราเรียกว่า หลักหน่วย นั้น พอนับถึง 9 ก็วนกลับมาเป็น 0 เหมือนตอนตั้งต้น ฉะนั้นการนับเลขในแต่ละหลัก จึงเป็นการนับวนไปเรื่อย ๆ จาก 0 ถึง 9 แล้วมาเริ่ม 0 ใหม่ ดังนี้


การนับเลขฐานสิบมากกว่าหนึ่งหลักนั้น เราสามารถจะทำความเข้าใจได้ง่าย โดยพิจารณาจากเครื่องนับจำนวนแบบให้มือกด ส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องนับจำนวนแบบนี้ คือ วงล้อ ที่มีตัวเลข 0-9 ซึ่งมีจำนวนเท่ากับจำนวนหลักทุกครั้งที่กดเพื่อนับ วงล้อทางขวาสุด (หลักหน่วย) จะถูกกลไกผลักให้เลื่อนไป 1 ตำแหน่ง ตัวเลขที่โผล่ให้เห็นทางด้านต่างจึงเพิ่มขึ้น 1 และเมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนตัวเลขจาก 9 เป็น 0 ของหลักใด กลไลจะผลักวงล้อของหลักถัดไปทางซ้ายให้เพิ่มขึ้น 1 เป็นการทดเลขข้ามหลักนั่นเอง
การนับเลขในระบบฐานสอง ถึงแม้ว่าในชีวิตประจำวันเราใช้เลขฐานสิบซึ่งสันนิษฐานกันว่าเกิดจากการที่ คนเรามีสิบนิ้วและมนุษย์เริ่มเรียนรู้การนับเลขจากนับนิ้วมือ แต่ในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบที่ยุ่งยาก ระบบที่ง่ายที่สุดคือระบบเลขฐานสอง เพราะวงจรไฟฟ้ามีสองสถานะเท่านั้น คือ วงจรเปิด (มีกระแสไหล) กับวงจรเปิด (ไม่มีกระแลไหล) เราอาจแทนสถานะทั้งสองด้วยตัวเลข 2 ตัว คือ 0 กับ 1 ระบบนี้เราเรียกว่า ระบบเลขฐานสอง เพราะมีตัวเลข 2 ตัว (เทียบกับระบบฐานสิบ ซึ่งมีตัวเลข 0-9 รวม 10 ตัว)
การนับเลขในระบบเลขฐานสองในแต่ละหลักจึงเป็นการนับ 0-1 แล้ววนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ 0 ดังภาพแสดงดังนี้

ถ้าเทียบกับการนับเลขฐานสิบแล้ว จะพบว่าการนับเลขฐานสอง ต้องใช้จำนวนหลักมากกว่า เพื่อที่จะนับในจำนวนที่เท่ากัน ทั้งนี้เพราะเลขฐานสองหลักเดียวนับได้ตั้งแต่ 0 ถึง 1 เท่านั้น ถ้าใช้สองหลักจะนับจำนวนสูงสุดได้เท่ากับ 3
การนับเลขในระบบเลขฐานสอง


จำนวนหลักที่ใช้กับจำนวนสูงสุดที่นับได้สำหรับกรณีเลขฐานสิบเทียบกับเลขฐานสอง


แม้ว่าระบบเลขฐานสองจะมีข้อเสียเปรียบ คือ ต้องใช้จำนวนหลักมาก แต่ความง่ายในการสร้างวงจร อิเล็กทรอนิกส์มาทำหน้าที่นับเลขฐานสองนั้น เป็นข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงจึงทำให้ระบบเลขฐานสองเป็นระบบที่ถูกนำมาใช้ ในการทำงานของคอมพิวเตอร์


การเขียนจำนวนเลขในระบบฐานสอง
เทียบกับระบบฐานสิบ (ในช่วง 1- 15)
เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความคุ้นเคยกับระบบเลขฐานสองมากขึ้น


ระบบเลขฐานสองกับระบบดิจิตอล ความสัมพันธ์ระหว่างระบบเลขฐานสองกับระบบดิจิทัล ระบบดิจิทัลที่ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เป็นระบบที่ทำงานด้วยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ ซึ่งต่างกับระบบแอนาล็อกดั้งเดิม ที่ทำงานโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง


การเปรียบเทียบระหว่างรูปคลื่นแรงดันไฟฟ้า ของระบบดิจิทัลกับระบบแอนาล็อก


เนื่องจากระบบดิจิตอลทำงานโดยอาศัยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ เราจึงสามารถใช้ระบบเลขฐานสอง (เลข 0 กับ เลข 1) แทนแรงดันไฟฟ้าสองระดับนั้น ดังนั้นเมื่อเราสร้างคอมพิวเตอร์ด้วยวงจรอิเล็อทรอนิกส์ระบบดิจิตอลเราจึง อาจกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยระบบเลขฐานสอง นั่นคือคอมพิวเตอร์จะใช้เพียงเลข 0 กับเลข 1 เท่านั้น แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะต้องคำนวณเลขที่มีค่ามาก หรือต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมาก เลขฐานสองที่ใช้จึงต้องมีจำนวนหลักมาก จำนวนหลักของเลขฐานสองนี่เองที่เราเรียกว่า บิต (bit) เช่น เลขฐานสองที่ใช้เป็นรหัสแทนตัวอักษรต่าง ๆ บนแผงแป้นอักขระของคอมพิวเตอร์นั้น เป็นเลขฐานสองขนาด 8 บิต คือ มี 8 หลัก เช่น อักษร “A” แทนด้วย 0100 0001 อักษร “Z” แทนด้วย 0101 1010 เป็นต้น

ประเภทของคอมพิวเตอร์
สามารถจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งานได้ดังนี้
o ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer)
o เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
o มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)
o สถานีงานวิศวกรรม (Engineering workstation)

การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างตอ่เนื่อง ทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสอม จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างขัดเจน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงว่าคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super commuter) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะในการทำงานสูงกว่าคอมพิวเตอร์แบบอื่น ดังนั้นจึงมีผู้เรียกชื่อหนึ่งว่า คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (High Performance Computer) คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ สามารถคำนวณเลขที่มีจุดทศนิยมด้วยความเร็วสูงมาก ขนาดหลายร้อยล้านจำนวนต่อวินาที งานที่ให้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ทำแค่ 1 วินาที ถ้าหากเอามาให้คนอย่างเราคิด อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าร้อยปี ด้วยเหตุนี้ จึงเหมาะสมที่จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เมื่อต้องมีการคำนวณมาก ๆ อย่างเช่นงานวิเคราะห์ภาพถ่าย จากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา หรือดาวเทียมสำรวจทรัพยากร งานวิเคราะห์พยากรณ์ งานทำแบบจำลองโมเลกุล ของสารเคมี งานวิเคราะห์โครงสร้างอาคาร ที่ซับซ้อน คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ มีราคาค่อนข้างแพง ปัจจุบันประเทศไทย มีเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ Cray YMP ในงานวิจัยอยู่ที่ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์สมรรถภาพสูง (HPCC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ผู้ใช้เป็นนักวิจัยด้านวิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่ยังต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ คือ ปกติสามารถทำงานได้รวดเร็ว หลายสิบล้านคำสั่งต่อวินาที สำหรับสาเหตุที่ได้ว่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ก็เพราะครั้งแรกที่สร้างคอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ได้สร้างไว้บนฐานรองรับ ที่เรียกว่า คัสซี่ (Chassis) โดยมีชื่อเรียกฐานรองรับว่า เมนเฟรม นั่นเอง เหมาะกับการใช้งาน ทั้งในด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจำนวนมาก ๆ เชื่น งานธนาคาร ซึ่งต้องสอบบัญชีลูกค้าหลายคน งานของสำนักงานทะเบียนราษฏร์ ที่เก็บรายชื่อประชาชนประมาณ 60 ล้านคน พร้อมรายละเอียดต่าง ๆ งานจัดการบันทึกการส่งเงิน ของผู้ประกันตนหลายล้านคน ของสำนักประกันสังคม กระทรวงแรงงาน คอมพิวเตอร์เมนเฟรม ที่มีชื่อเสียงมาก คือ เครื่องของบริษัท IBM ในปัจจุบัน ความนิยมใช้เครื่องเมนเฟรม ในหน่วยงานต่าง ๆ ได้ลดน้อยลงมากเพราะราคาเครื่องค่อนข้างแพง การใช้งานค่อนข้างยาก และมีผู้รู้ด้านนี้ค่อนข้างน้อย
มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะน้อยกว่าเครื่องเมนเฟรม คือทำงานได้ช้ากว่า และควบคุมอุปกรณ์รอบข้างได้น้อยกว่า อย่งไรก็ตามจุดเด่นสำคัญของเครื่องมินิคิมพิวเตอร์ ก็คือ ราคามย่อมเยากว่าเมนเฟริม การใช้งานก็ไม่ต้องใช้ บุคคลากรมากนัก นอกจากนั้น ยังมีผุ้ที่รู้วิธี่ใช้งานมากกว่าด้วย เครื่องประเภทนี้ มีใช้ตามสถาบันการศึกษา อุดมศึกษาหลายแห่ง มินิคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานหลากหลายประเภท ใช้ได้ทั้งในงานวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม เครื่องที่มีใช้ตามหน่วยงานราชการระดับกรมส่วนใหญ่มักจะเป็นเครื่องประเภท นี้
สถานีงานวิศวกรรม (Engineering Workstation) ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรม ส่วนใหญ่เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก การสร้างรูปและการทำภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโดยงสถานีงานวิศวกรรมกันเป็นเครือข่าย ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จ สำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้นไป เช่น โปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุม เครื่องจักร
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก และใช้ทำงานคนเดียว จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย จัดว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ทั้งระบบใช้งานครั้งละคนเดียวหรือใช้งานในลักษณะเครือข่าย แข่งได้หลายลักษณะตามขนาดเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบตั้งโต๊ะ (Personal Computer) หรือแบบพกพา (Portable Computer) หรือแบ่งตามผู้ผลิต ได้แก่ เครื่องกลุ่ม IBM,IBM Compatible และแมคอินทอช (Macintosh) เป็นต้น คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ ที่เป็นตัวการผลักดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในโลกคอมพิวเตอร์ คือ ทำให้เกิดความสนใจในเรื่องคอมพิวเตอร์แพร่หลายไปสู่คนทุกอาชีพ และทุกวัย

วงตรรก สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของคอมพิวเตอร์คือ วงจรตรรก ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จำนวนมหาศาลแต่ละวงจรทำงานโดยมีสถานะเพียงสองสถานะ ระบบเช่นนี้ เราเรียกว่าระบบดิจิตอล หน่วยที่เล็กที่สุดของวงจรตรรกที่ใช้ในคอมพิวเตอร์คือ เกต (Gate) วงจรเกตมีหลายแบบและเมื่อนำเกตแบบต่าง ๆ มาต่อกัน ยังทำให้เกิดวงจรที่สามารถทำหน้าที่อื่นได้อีกหลายแบบเช่น วงจรนับ (Counter) และวงจรความจำ (Memory)
วงจรตรรกประเภทหลัก ๆ ที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1. วงจรเกตหรือลอจิกเกต (Logic gate) เป็นวงจรที่ทำหน้าที่ตัดสินเชิงเหตุ และผล (เชิงตรรกะ) ทั้งนี้เป็นไปตามกฏเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์แบบหนึ่งที่เรียกว่าพีชคณิตแบบบูลลีน (Boolean Algebra)
ตัวอย่างการตัดสินเชิงตรรกะ คุณแม่ตกลงกับลูกว่า พรุ่งนี้ถ้าอากาศดีและนักเรียนทำการบ้านเสร็จคุณแม่จะพาไปเที่ยว ตารางแสดงความสัมพันธ์ดังนี้

จากตัวอย่างจะเห็นว่าผลดี การไปเที่ยวหรือไม่ไปเที่ยวขึ้นอยู่กับเหตุ 2 ประการ คืออากาศดีหรือไม่ดี และการบ้านเสร็จหรือไม่เสร็จ จงสังเกตว่าทั้งเหตุและผลแต่ละอย่างมสองสถานะเราจึงอาจใช้เลขฐานสองแทนสถานะ ของแต่ละอย่างได้ โดยกำหนดว่าถ้าเงื่อนไข จริงเราจะแทนด้วยเลข 1 และถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จเราจะแทนด้วยเลข 0 แสดงความสัมพันธ์ดังนี้

ความสัมพันธ์นี้เป็นกรณีที่ผลลัพธ์จะเป็นจริงต่อเมื่อ เงื่อนไขทั้งสองเป็นจริงด้วยกันเราเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ “และ (AND” ซึ่งเขียนสมการได้ว่า

W AND H=G หรือเขียนว่า W O H = G

2. วงจรนับ (Counter) เป็นอีกวงจรหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ
ประการแรก คอมพิวเตอร์ทำการนับเพื่อกำหนดตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ เช่น ลำดับขั้นตอนการทำงานตามโปรแกรม ตำแหน่งของหน่วยความจำ
ประการที่สอง การนับเป็นกระบวนการพื้นฐานอย่างหนึ่งของการคำนวณ ดังนั้น วงจรจึงนับเป็นวงจรดิจิตอลที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของ คอมพิวเตอร์
3. วงจรความจำ (Memory) การมีความจำนับว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ใช้ความจำทั้งสำหรับเก็บขั้นตอนการทำงาน (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม) เก็บค่าต่าง ๆของข้อมูล ในระหว่างทำกระบวนการและเก็บค่าผลลัพธ์เมื่อสิ้นสุดกระบวนการ หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์มีทั้งที่เป็นส่วนประกอบภายในของหน่วยประมวลผล กลาง (ซี พี ยู) และที่เป็นหน่วยความจำต่างหาก

การประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หลักพื้นฐานในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ เรามักจะนึกว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ฉลาดมาก แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย คอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ในยุคปัจจุบันมีความเก่ง ตรงที่สามารถทำงานได้เร็วมาก ๆ และมีความจำดีมากเท่านั้นเอง แต่ผู้ที่ออกแบบสร้างคอมพิวเตอร์ (และโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์) นั้นมีความฉลาดหลักแหลมที่สามารถแตกปัญหายาก ๆ 1 ปัญหา ออกเป็นปัญหาย่อยง่าย ๆ จำนวนหลายร้อยปัญหา แล้ววางขั้นตอนให้คอมพิวเตอร์จัดการกับปัญหาย่อยเหล่านั้นตามลำดับขั้นตอน
เพื่อให้เข้าใจหลักการนี้ ขอให้นักเรียนพิจารณาโจทย์ตัวอย่างดังนี้
โจทย์ 3x5=?
วิธีทำ 3x5 หมายความว่า นำ 3 มาบวกกัน 5 ครั้ง
ดังนั้นเราจึงแปลงโจทย์เป็น 3+3+3+3+3 = ?
แต่ถ้าเราจะนำโจทย์ไปให้เด็กที่บวกเลขไม่เป็น แต่นับเลขเป็นเราต้องแปลงให้ง่ายงไปอีกดังนี้
การนับครั้งที่ 1 /// นับ 1 2 3
การนับครั้งที่ 2 /// นับ (ต่อจาก 3) 4 5 6
การนับครั้งที่ 3 /// นับ (ต่อจาก 6) 7 8 9
การนับครั้งที่ 4 /// นับ (ต่อจาก 9) 10 11 12
การนับครั้งที่ 5 /// นับ (ต่อจาก 12) 13 14 15 คำตอบคือ 15
สรุป
เลขฐานสองคือตัวเลขที่มีค่าไม่ซ้ำกันสองหลัก( 0 และ 1) เป็นเลขฐานเดียวที่เข้ากันได้กับ Hardware ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เพราะการใช้เลขฐานอื่น  จะสร้างความยุ่งยากให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างมาก เช่น เลขฐานสิบมีตัวเลขที่เป็นสถานะที่ต่างกันถึง 10 ตัว ในขณะที่ระบบไฟฟ้ามีเพียง2 สถานะ ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆมีเพียงสถานะเดียวเท่านั้น

แต่ละหลักของเลขฐานสอง เรียกว่า Binary Digit (BIT)

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Flowchart

สัญลักษณ์ Flowchart คือ รูปภาพที่ใช้แทนความหมายการทำงานในลักษณะต่างๆ ภายในผังงาน (Flowchart) ประกอบไปด้วย การเริ่มต้น (Start), การจบ (End), การกระทำ (Process), การนำเข้าข้อมูล (Input), การแสดงผลข้อมูล (Output), การตัดสินใจ (Decision), คำอธิบาย (Annotation), จุดเชื่อมต่อ (Connector), ทิศทางการทำงาน (Direction Flow) 
สัญลักษณ์เหล่านี้เมื่อถูกนำมาเชื่อมต่อกัน จะกลายเป็น "ผังงาน (Flowchart)" ที่แสดงลำดับขั้นตอนการทำงานเพื่อ
  • เป็นเครื่องมือในการจัดลำดับความคิด
  • เห็นลำดับขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน
มาดูกันว่าสัญลักษณ์ต่างๆ มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้างครับ

สัญลักษณ์ Flowchart (ผังงาน)

รูปภาพสัญลักษณ์ความหมายของสัญลักษณ์

Start / End
การเริ่มต้นหรือจบ Flowchart (Start หรือ End)

Process
การกระทำ (Process) ถูกใช้เพื่อแสดงที่การกระทำใน Flowchart

ตัวอย่างเช่น "กำหนด 1 ให้ X", "บันทึกการเปลี่ยนแปลง", "แทนที่ X ด้วยค่า 10"

Input / Output
ส่วนการนำเข้าข้อมูลหรือแสดงผลข้อมูล (Input / Output) 
ตัวอย่างเช่น "นำเข้าค่า X จากผู้ใช้", "แสดงผลข้อมูล X"
Decision
การตัดสินใจ (Decision)
นำมาใช้เพื่อพิจารณา True หรือ False เส้นการทำงานที่ออกจาก Decision จะมีสองเส้นเสมอ 

เส้นแรกเมื่อเป็น True และอีกเส้นเมื่อเป็น False
Annotation
คำอธิบายประกอบ (Annotation) 
สัญลักษณ์นี้ถูกนำมาใช้เพื่อเขียนคอมเม้นต์ให้กับ Flowchart

Connector
จุดเชื่อมต่อ (Connector) 
ใช้รวมเส้นการทำงานของ Flowchart ให้ออกไปเหลือเพียงเส้นเดียว

Direction Flow
ทิศทางการทำงาน (Direction Flow)
ใช้เชื่อมต่อสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อแสดงการไหลการงาน

วิธีใช้เขียนผังงาน

หลักการนำสัญลักษณ์ Flowchart ต่างๆ มาเขียนผังงาน
  1. ผังงาน (Flowchart) ต้องมีจุดเริ่มต้น (Start) และจุดสิ้นสุด (End)
  2. สัญลักษณ์แต่ละรูปจะถูกเชื่อมต่อด้วยทิศทางการทำงาน (Direction Flow) เพื่อบอกว่าเมื่อทำงานนี้เสร็จต้องไปทำงานไหนต่อไป
  3. การทำงานจะต้องเริ่มต้นที่จุดเริ่มต้น (Start) และจบที่จุดสิ้นสุด (End) เท่านั้น 

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

ความหมายและการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต



ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ จะเปลี่ยนแปลงหน้าตาการตอบโต้ หรือยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซ แบบใหม่ ใช้งานง่ายกว่าเดิม จุดเด่นอยู่ที่กรุ๊ปแชต รองรับสมาชิกภายในกลุ่มและยังเลือกกลุ่มได้หลากหลาย  

1.  ความหมายอินเทอร์เน็ต  อินเทอร์เน็ต (Internet)  หมายถึง กลุ่มของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฝดดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคม สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องจะต้องมีการกำหนดหรือข้อตกลงหรือวิธีการสื่อสารจึงจะต้องกำหนดหรือข้อตกลงหรือวิธีการสื่อสารจึงจะต้องกำหนดโพรโทคอลของคอมพิวเตอร์จะใช้มาตรฐานการสื่อสารที่เรียกว่า โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี   
    คอมพิวเตอร์จะมีหมายเลขไอพี (IP Address)ซึ่งประกอบด้วยชุดของตัวเลข 4 ชุด โดยมีจุดคั่นตัวเลขแต่ละชุดเช่น 123.456.20.3 การกำหนดใช้เลขฐานสิบในการอ้างอิงเครื่องยากในการจดจำจึงมีการกำหนดเป็นลักษณะคำภาษาอังกฤษสั้นๆ โดยแต่ละส่วนจะมีความหมายเฉพาะและคั่นด้วยเครื่องหมายจุด ซึ่งเรียกว่า ชื่อโดเมน (domain name) เช่น



                                                                ตัวอย่างโดเมนเนม



2.พัฒนาการอินเทอร์เน็ต
   พ.ศ.2500  โซเวียตปล่อยดาวเทียม Sputnik ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
   พ.ศ.2512  กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการทหารและความเป็นไปได้ในการถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณูหรือนิวเคลียร์ การถูกทำลายล้างศูนร์คอมพิวเตอร์และระบบการสื่อาสรข้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบและในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหลากหลายมากมายหลายแบบ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้จึงมีแนวคิดในการวิจัยระบบที่สามารถเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ตลอดจนสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างไม่ผิดพลาด โดยช่วงแรกเป็นการพัฒนาเพื่อการสื่อสารทางการทหารและต่อมาได้พัฒนาเป็น INTERNET ในที่สุด แม้ว่าคอมพิวเตอร์บางเครื่องหรือสายรับส่งสัญญาณเสียหายหรือถูกทำลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกา (DOD = Department Of  Defense) ได้ให้ทุนที่มีชื่อว่า DARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr J.C.R Licklider ได้ทำการทดลองระบบเครือข่ายที่มีชื่อว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Poject Agency Network) เป็นโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นมีการนำมาใช้เพื่อการศึกษาโดยเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างสถาบัน 4 แห่งคือ มหาวิทยาลัยแคลิเฟอร์เนียที่ซานตา บาร์บารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแอนเจอลิส มหาวิทยาลัยยูทาห์ และสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ซึ่งคอมพิวเตอร์จากสถาบันทั้ง 4 แห่งเป็นคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันและใช้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน
   พ.ศ.2525 มีการพัฒนามาตรฐานในการรับและส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพิ่มยิ่งขึ้น โดยใช้โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี ในการรับและส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่นำมาใช้จนถึงปัจจุบัน
   พ.ศ.2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ให้เงินทุนสร้างศูนย์ซูเปอร์ตอมพิวเตอร์ 6 แห่งและใช้ชื่อว่า เอ็นเอสเอฟเน็ต
   พ.ศ.2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่องานด้านการศึกษาและการค้นคว้าทางิทยาศาสตร์
   พ.ศ.2530 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ได้ติต่อขอใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โดยอาศัยการร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศออสเตรเลียตามโครงการไอดีพี ซึ่งการเชื่อมโยงขณะนั้นใช้สายโทรศัพท์ทำให้ส่งข้อมูลได้ช้าและไม่ถาวร จากนั้นมีการรวมตัวกันของอาร์พาเน็ตและเอ็นเอสเอฟเน็ต ทำให้มีการใช้เอ็นเอสเอฟเน็ตแทนอาร์พาเน็ต ส่งผลให้มีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากเครือข่ายอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นอินเทอร์เน็ต
   พ.ศ.2533 อาร์พาเน็ตไม่สามารถที่จะรองรับภาระที่เป็นโครงข่ายหลักของระบบได้ อาร์พาเน็ตจึงได้ยุติลงและเปลี่ยนไปใช้เอ็นเอสเอฟเน็ตและเครือข่ายอื่นๆ แทน ส่วนประเทศไทยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้จัดทำเครือข่ายไทยสาร ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อของสถาบันการศึษาเพื่อจุดประสงค์หลักในการวิจัยและส่งเสริมการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมในเครือข่ายไทยสาร ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
   พ.ศ.2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งเครือข่ายเพื่อเชื่อโยงเข้ากับเครือข่ายยูยูเน็ตของบริษัทยูยูเน็ตเทคโนโลยี จำกัด รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศไทยได้ขอเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกเครือข่ายนี้ว่า เครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 สถาบัน คือ สำนักวิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เละมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในปีเดียวกับที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติได้จัดตั้งเครือข่ายของยูยูเน็ตและได้เชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ ในปัจจุบัน
   พ.ศ.2537 ความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) จึงร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่บุคคลและผู้สนใจสมัครเป็นสมาชิก ตั้งขึ้นในรูปบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกกันทั่วไปว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือไอเอสพี
   พ.ศ.2538 บริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ประชาชนทั่วไปในเชิงพาณิชย์และเมื่ออินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้บริการมากขึ้นจึงเกิดบริษัทอื่นๆ เปิดให้บริการเพิ่มขึ้น
   อินเทอร์เน็ตพัฒนาจากเครือข่ายที่ใช้ในงานวิจัยการขยายตัวของผู้ใช้เครือข่ายระยะแรกจึงจำกัด ต่อมามีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น เช่น
   พ.ศ.2513 เริ่มมการใช้อีเมลเป็นครั้งแรก
   พ.ศ.2516 เริ่มมีการสนทนาผ่านบีบีเอส ซึ่งเป็นการสนทนาผ่านโปรแกรมเทอร์มินอล โดยผู้ใช้ต่อเข้ามาที่เครื่องบริการ เพื่อสนทนา ฝากข้อความหรือส่งอีเมลถึงกัน
   พ.ศ.2531 เริ่มมีการใช้รูปแบบการสนทนาผ่านเครือข่ายในลักษณะที่ผู้ใช้ต่อเข้ามาที่เครื่องบริการเพื่อสนทนาในห้องคุยที่มีอยู่ในระบบตามความสนใจเรียกว่า ไออาร์ซี
   พ.ศ.2534 มีการคิดค้นการให้บริการข้อมูลผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ โดยใช้เว็บเบราเซอร์ในการใช้และเข้าถึงข้อมูล หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเห็นความสำคัญ และเข้าร่วมการใช้บริการบนอินเทอร์เน็ต
   พ.ศ.2539 เริ่มมีการสนทนาผ่านเครือข่ายแบบระบุผู้สนทนาได้โดยตรง เรียกว่า การส่งข้อความทันทีหรือ แชท
3.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
สปริง เน้นตลาดแอพฯข้ามแพลตฟอร์ม รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการ หวังเป็นกรุ๊ปแชตที่ดีที่สุด
นายสุชิน รัตนศิริวิไล ประธานบริษัท สปริง เทเลคอม เปิดเผยว่า โทรศัพท์มือถือรุ่น สมายด์ ของสปริง ได้รับการยอมรับทั้งตัวเครื่องและแอพพลิเคชั่นที่ทันสมัย มีผู้ใช้จำนวนมากดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ไปใช้งานจากหลากหลายอุปกรณ์
ดังนั้น สปริงจะเป็นบริษัทคนไทยที่ผลิตแอพพลิเคชั่นร่วมทำงานกับฮาร์ดแวร์ของทุกค่าย และเชื่อมต่อกับทุกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต โดยจะเน้นการเป็นกรุ๊ปแชตที่ดีที่สุด หรือ  A Better Group Messenger ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
นโยบายของสปริงต่อการพัฒนาแอพ พลิเคชั่นทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะต้องเป็นโปรแกรมที่เชื่อมการทำงานทุกแพลตฟอร์ม ทุกคนสามารถคุยกันได้ผ่านเครือข่ายโดยไม่มีขีดจำกัด การหาเพื่อนใหม่จะง่ายดาย เชื่อมต่อกับทุกโซเชียลมีเดีย  โดยคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงดึงภาคธุรกิจการค้ามาให้สิทธิประโยชน์กับผู้ใช้โปรแกรม โดยเน้นความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก
นายยุคลอาจ ชาญพานิชกิจการ รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท สปริง เทเลคอม เปิดเผยว่า ในปัจจุบันผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสปริง โดยเฉลี่ยจะใช้งานประมาณวันละ
8 ชั่วโมง โดยมีกลุ่มกิจกรรมที่มีการใช้งานในแต่ละวันกว่า 2,000 กลุ่ม ทำให้การทำธุรกรรมผ่านสปริง มีมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อวัน หากสปริงเปิดการทำงานในทุกระบบปฏิบัติการ ทั้งแอนดรอยด์  ไอโอเอส  บีบี ไอแพด วินโดว์สโมบาย รวมถึงการทำงานผ่านเว็บในคอมพิวเตอร์ปกติ ที่จะทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีแต่โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ก็จะทำให้การใช้งานของสปริงเพิ่มมากขึ้น

สรุป
ความหมายอินเทอร์เน็ต : เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง
พัฒนาการ : สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถติต่อสื่อสารทางอีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบโทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยังออสเตรเลียในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันการศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อว่า เครือข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้ มีการบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และภาคเอกชนต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
(Internet Service Provider: ISP) เป็นบริษัทแรก เมื่อมีคนนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต
จึงได้ก่อตั้งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย